มาตรการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกเมษายน

วันที่เผยแพร่ : 18 พ.ค. 2564
มาตรการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกเมษายน
คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบจ่ายเงินเยียวยาประชาชน ภายใต้โครงการ “เราชนะ และ ม.33 เรารักกัน” เพิ่มเติมอีกคนละ 2,000 บาท ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้นำเสนอ รวมวงเงินทั้งสิ้น 96,741.47 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจากวงเงินกู้จำนวน 85,000 ล้านบาท (พ.ร.ก.เงินกู้ฯ 1 ล้านล้านบาท) เพื่อเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายน ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ดังนี้
1. โครงการเราชนะ มีกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 33.5 ล้านคน จะได้รับเงินเยียวยางวดละ 1,000 บาทต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ รวมวงเงินทั้งสิ้น 67,000 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มเป้าหมายมี 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มผู้ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้ง 2 กลุ่มนี้จะได้รับเงินเยียวยางวดละ 1,000 บาท
- งวดแรกในวันที่ 21 พฤษภาคม 2564
- งวดที่ 2 ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2564
กลุ่มที่มีแอปฯ “เป๋าตัง” และกลุ่มผู้ลงทะเบียน จะได้รับเงินเยียวยางวดละ 1,000 บาท
- งวดแรกในวันที่ 20 พฤษภาคม 2564
- งวดที่ 2 ในวันที่ 27 พฤษภาคม 2564
วงเงินที่ได้รับจากโครงการนี้ สามารถสะสมเพื่อใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2564
2. โครงการ ม.33 เรารักกัน มีกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 8.11 ล้านคน และกลุ่มที่อยู่ระหว่างทบทวนสิทธิอีก 30,000 คน จะได้รับเงินเยียวยางวดละ 1,000 บาทต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ รวมวงเงินทั้งสิ้น 48,841.47 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นประมาณ 11,741.47 ล้านบาท จากกรอบวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจำนวน 37,100 ล้านบาท โดยผู้ประกันตนจะได้รับการโอนเงินงวดละ 1,000 บาท งวดแรกในวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 งวดที่ 2 ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ทั้งนี้ วงเงินที่ได้รับจากโครงการนี้ สามารถสะสมเพื่อใช้จ่ายได้ไม่เกินวันที่ 30 มิถุนายน 2564
3. อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เลื่อนการดำเนินโครงการทัวร์เที่ยวไทย และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 3 ในเดือนพฤษภาคม 2564 ออกไปก่อน เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ระลอกเดือนเมษายน คลี่คลายลงแล้ว จึงจะเริ่มดำเนินโครงการฯ อีกครั้ง
4. ปรับลดกรอบวงเงินของโครงการกำลังใจจาก 2,400 ล้านบาท เป็น 1,370 ล้านบาท หรือลดลงประมาณจำนวน 1,030 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและผลการดำเนินโครงการฯ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารกรอบวงเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ